องค์พระมิ่งเมือง





องค์พระมิ่งเมือง
           ประวัติหรือความเป็นมาขององค์พระหลวงพ่อมิ่งเมืองอำเภอโกสุมพิสัย ซึ่งประดิษฐานอยู่ทรากพัทธสีมาหน้าวัดกลางโกสุมพิสัย ฝั่งแม่น้ำชี เป็นพระพุทธรูปซึ่งสลักด้วยดินศิลาแลง คล้ายกับเทวรูป เมื่อก่อนที่ยังไม่ได้บูรณนอนจมดิน คอ แขน ขา หักออกเป็นท่อนๆ ชาวบ้านเรียกว่า "พระคอกุ้น" องค์พระสร้างในสมัยใดใครเป็นผู้สร้างไม่ปรากฎ ไม่มีตำนานหรือหลักฐานที่อ้างถึง เท่าที่สังเกตเป็นพระพุทธรูปยืน อยู่ในพระอุโบสถ กาลนานมาย่อมผุพังแตกหักไปทั้งโบสถ์และองค์พระ เพราะบ้านหรือเมืองร้างไปในสมัยนั้น เกิดป่าปกคลุมแน่นหนากลายเป็นป่าดงดิบไป บรรพบุรุษของชาวอำเภอโกสุมพิสัยต่างก็เห็นองค์พระกันอยู่ต่อๆ มาอย่างนั้น แต่ชาวบ้านทั้งหลายก็ต่างเข้าใจเอาเองว่า ทั้งองค์พระอุโบสถคงจะได้ก่อสร้างในสมัยขอมเรืองอำนาจอยู่ในแคว้นนี้ ราว พ.ศ. 1300-1700 รุ่นเดียวกันกับปราสาทหินพิมาย เขาพระวิหารหรือกู่ ที่มีอยู่ในที่ต่างๆ ตามจังหวัดและอำเภอในภาคอีสาน ได้ความตามบันทึกพงศาวดารเมืองโกสุมพิสัย ครั้งในกรมหมื่นสรรพสิทธิ์ประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์รักษาราชการมณฑลลาวกาว ซึ่งคณะกรรมการเมืองโกสุมพิสัยทำประวัติส่งไปถวายที่เมืองอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 เดือนมกราคม พ.ศ. 2439 ความว่า เมื่อ พ.ศ. 2413 มีนายพราน 2 คน คนหนึ่งชื่อหมา คนหนึ่งชื่อบัว เป็นคนบ้านโนนเมือง หมู่บ้านนี้บัดนี้ก็ชื่อหมู่บ้านโนนอยุ่ทางทิศตะวันตกของอำเภอโกสุมพิสัย ห่างจากที่ตั้งอำเภอประมาณ 16 กิโลเมตร ในปัจจุบันตามที่สันนิษฐาน คงจะเป็นเมืองเก่ามาก่อนในสมัยขอมเรืองอำนาจเช่นกัน เพราะมีพระพุทธรูปใหญ่อยู่ในทรากพัทธสีมาซึ่งชาวบ้านเรียกว่า วัดธาตุ ชาวบ้านแถบนั้นนิยมนับถือ ถึงฤดูกาลพากันไปนมัสการกราบไหว้ด้วยดอกไม้ธูปเทียน สรงน้ำพระ ก่อพระทรายเป็นที่สักการะบูชาทุกๆ ปี พรานหมาและพรานบัวพร้อมด้วยพรรคพวกประมาณ 10 คน ได้ออกจากหมู่บ้านหรือเมืองนี้ไปล่าเนื้อมาพบพระพุทธรูปในทรากพัทธสีมาริมฝั่งแม่น้ำชีเข้า และในวันนั้นไม่ได้พบเนื้อแม้แต่ตัวเดียว พอค่ำลงนอนอาศัยใกล้ทรากพัทธสีมานี้แล้วเกิดฝันร้ายว่า มีคนร่างใหญ่ผมขาวมาขู่จะเอาชีวิตกับพวกล่าเนื้อทั้งหมดว่าถ้าอยากมีชีวิตต่อไปให้ปลูกศาลหรือหอเพียงตาคนแล้วเก็บดอกไม้ในป่าที่หาได้ในแถบนั้นมาสักการะบูชาบนบานขอให้พบเนื้อและมีความปลอดภัยทุกๆ คน แล้วผลก็สมปรารถนาทุกประการ ปรากฎตามรายงานที่คณะกรรมการเมืองโกสุมพิสัยที่กล่าวถึงไว้ดังกล่าวมา ต่อมาก็มีชาวบ้านหนองคูแขวงเมืองสุวรรณภูมิ 7 ครอบครัว มาจากบ้านสอง แขวงเมืองมหาสารคาม อีก 5 ครอบครัว รวมเป็น 12 ครอบครัว มีคนประมาณ 31 คน ได้อพยพจากหมู่บ้านดังกล่าวมาพบที่นี่เข้า เห็นว่าเป็นเมืองไชยภูมิดีใกล้น้ำสมควรที่จะตั้งเป็นบ้านได้ จึงพากันปราบพื้นที่ปลูกเรือนหรือที่พักใกล้เคียงกับศาลเจ้าหรือหอพระที่คนชุดก่อนได้สร้างขวางตะวันไว้ แล้วเรียกชื่อหมู่บ้านของคนตามฉายาของหออารักษ์ว่า หมู่บ้านหอขวางตั้งแต่นั้นมา              
          ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2414-2415 อุปฮาตเมืองมหาสารคามพาสมัครพรรคพวกอีก 16 ครอบครัว รวมชายหญิงทั้งสิ้นประมาณ 62 คน มาตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านท่าหอขวาง              
          จนถึง พ.ศ. 2420 พระเจริญราชเดช เจ้าเมืองมหาสารคามได้ถึงแก่กรรมลง อุปฮาตจึงต้องกลับไปดำรงตำแหน่งแทนพระเจริญเดชเจ้าเมืองมหาสารคามต่อไป ต่อนั้นมาข่าวเล่าลือความอุดมสมบูรณ์ของบ้านท่าหอขวางที่แพร่กระจายไปจึงมีคนอพยพจากถิ่นต่างๆ เช่นมาจากเขตอำเภอกันทรวิชัย และบ้านเมืองท่าสวนยาที่แตกบ้านอพยพมาอยู่ ู่เป็นจำนวนมาก ในที่สุดกลายเป็น 3 หมู่บ้านใหญ่ คือบ้านคุ้มใต้ บ้านคุ้มสังข์ ค่อยๆ เจริญและเพิ่มปริมาณครอบครัวเป็นลำดับมา ตามตำบลและหมู่บ้านต่างๆ อีกก็มาก                 
          เมื่อประมาณ พ.ศ. 2475 มีนายไซ่เกีย แซ่โค้ว (ต้นตระกูลสัจจพงษ์ ปัจจุบัน) เชื้อสายจีนมาตั้งรกรากทำมาค้าขายอยู่ที่ตลาดอำเภอโกสุมพิสัย กับพระอาจารย์บุญมี (วงษ์ศึก) เจ้าอาวาสวัดกลางโกสุม ในสมัยนั้นพร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรและชาวบ้านคุ้มกลางโกสุม ได้ร่วมกับบริจาคเงินเป็นทุนช่วยกันปฏิสังขรณ์ส่วนต่าง ๆ ขององค์พระชำรุดหายไปให้สมบูรณ์ และทำการบูรณะสถานที่ทำหลังคามุงด้วยสังกะสี                  
          ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2502 ท่านพระครูพิชัยโกสุมภกิจ (คุณพ่อนิพนธ์ วิกยานนท์) และผู้จัดการโรงเรียนนิพนธ์ประสิทธิ์วิทยา ปัจจุบันโรงเรียนมัธยมวัดกลางโกสุม ได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะอำเภอโกสุมพิสัยในสมัยนั้นได้ประชุมหารือกับชาวบ้านคุ้มกลางและหมู่บ้านไกล้เคียงได้เสียสละเงนตามกำลังศรัทธามาเพื่อเป็นทุนก่อสร้างขึ้นใหม่เป็นลักษณะมณฑปครอบองค์พระไว้ โดยใช้เสาคอนกรีตเสริมเหล็กลาดพื้นซีเมนต์ หลังคามุงกระเบื้อง นับว่ามั่นคงถาวรกว่าเดิมสิ้นค่าก่อสร้าง สมัยนั้นประมาณ 100,000 บาท                   
          ในปี พ.ศ. 2505 ทางราชการอนุญาตให้จัดเป็นงานเทศกาลฉลององค์พระมิ่งเมือง ตามหนังสือที่ 582/2505 ลงวันที่ 17 มกราคม 2505 ในสมัยนายนวน มีชำนาญ เป็นผู้ว่าราชการ จังหวัดมหาสารคาม โดยให้ยกเว้นค่าอากรมหรสพทุกประเภท เริ่มมีการจัดงานตั้งแต่วันที่ 1-5 กมภาพันธ์ 2505 เป็นต้นมา โดยถือเอาวันที่ 1-2-3 กุมภาพันธ์ องปีที่วางศิลาฤกษ์ในการก่อมณฑปขึ้นใหม่ จึงถือเอาวันที่ 1-5 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็นวันจัดงานเพราะถือเป็นวันคล้ายวันวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างมณฑปองค์พระมิ่งเมือง
ที่มา  http://202.29.22.173/php/information/silipad/WEB/Kosum10.html

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิธีรับยันต์เกราะเพชรด้วยตนเองที่บ้าน

ประวัติชาติภูมิ : ปู่ฤาษีคัมภีร์ แสนวัง